นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์




นายกสภามหาวิทยาลัย

ครั้งที่ 1 30 พ.ย. 2491 – 24 ก.พ. 2492

ครั้งที่ 2 28 มิ.ย. 2492 – 28 พ.ย. 2494



ประวัติ
พระช่วงเกษตรศิลปการ เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และเป็น 1 ใน 3 ทหารเสือวงการเกษตรของประเทศไทย คือ 1 ใน 3 ของบูรพาจารย์ที่ร่วมกันก่อตั้ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แก่ พระช่วงเกษตรศิลปการ หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ และหลวงอิงคศรีกสิการ จนกระทั่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาการเกษตรของไทยให้ทัดเทียมอารยประเทศ และเจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบัน
พระช่วงเกษตรศิลปการ เกิดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2442 ที่บ้านแช่ ตำบลพระประแดง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เดิมชื่อ ช่วง โลจายะ เป็นบุตรของ ร.อ. หลวงศรีพลแผ้ว ร.น. (ขาว โลจายะ)
ประวัติการศึกษา
1) เข้าศึกษาชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนวัดทรงธรรม อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
2) มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยม 1 ถึง 3 ที่ โรงเรียนมัธยมวัดสุทัศน์
3) มัธยมศึกษาตอนปลาย มัธยม 4 ถึง 8 ที่ โรงเรียนสวนกุหลายวิทยาลัย
• พ.ศ. 2459 เมื่อศึกษาจบแล้วได้สมัครเป็นครูสอนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ เป็นเวลา 2 ปี
4) ได้รับทุนกระทรวงธรรมการ จากเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ไปเรียนวิชาช่าง (วิศวกรรมเครื่องกล) ณ ประเทศสหปาลีรัฐอเมริกา (สหรัฐอเมริกา) แต่ระหว่างนั้นอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา รัฐบาลเกรงจะเกิดอันตรายในการเดินทางของนักเรียนทุน จึงได้เปลี่ยนให้ฝากเรียนที่ประเทศฟิลิปปินส์ชั่วคราว เนื่องจากอยาในระหว่างสงครามทำให้สถานที่เรียนของพระช่วงเกษตรศิลปการอยู่ในสภาพทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ไม่ถูกหลักอนามัย นักศึกษาล้มเจ็บกันมา ขณะนั้น หลวงอิงคศรีกสิการ (เอี้ยง จันทรสถิตย์) ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนสวนกุหลาบ กำลังศึกษาด้านการเกษตรปีที่ 2 อยู่ที่มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ที่ลอสบันยอส จึงได้ชวนคุณพระช่วงเกษตรศิลปการ ให้ไปศึกษา ณ ที่เดียวกัน
• พ.ศ. 2463 คุณพระช่วงเกษตรศิลปการ ศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ที่ ลอสบันยอส
• พ.ศ. 2464 เมื่อสงครามโลกสงบลง รัฐบาลจึงได้ย้ายนักเรียนไทยไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยท่านได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ในสาขาวิชาสัตวบาล
• พ.ศ. 2467 ท่านจบปริญญาตรีและปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน นับเป็นคนไทยคนที่ 2 ที่จบปริญญาโทด้านการเกษตร ต่อจากหลวงอิงคศรีกสิการ ซึ่งจบปริญญาโท ด้านการเกษตรจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล
รับราชการ
พ.ศ. 2459 เมื่อศึกษาจบมัธยม 8 แล้ว ท่านได้สมัครเป็นครูสอนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ เป็นเวลา 2 ปี ก่อนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ
พ.ศ. 2467 หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว ได้เดินทางกลับประเทศไทย ได้รับการบรรจุราชการครั้งแรกเป็นอาจารย์ประจำกระทรวงธรรมการ โดยเข้ารับราชการครูที่โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม อำเภอบางสะพานใหญ่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในสมัยนั้นอาจารย์ทุกคนและนักเรียนต้องทำงานอย่างหนัก ช่วยกันพัฒนาสถานที่ ปลูกสร้างอาคารด้วยตนเอง เนื่องจากรัฐบาลไม่มีงบประมาณสนับสนุน
พ.ศ. 2468 ได้รับยศ รองอำมาตย์เอก
พ.ศ. 2469 โรงเรียนได้ย้ายที่ตั้งไปยังอำเภอทับกวาง จังหวัดสระบุรี พระช่วงเกษตรศิลปการได้ย้ายการทำงานไปยังที่ตั้งใหม่ และไปเริ่มต้นบุกเบิกใหม่ ทำงานหนัก ทั้งสอนหนังสือและงานภาคสนาม ในปีเดียวกัน ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงช่วงเกษตรศิลปการ ขณะที่มีอายุเพียง 27 ปี
พ.ศ. 2470 ท่านได้ริเริ่มจัดทำหนังสือพิมพ์กสิกร ฉบับปฐมฤกษ์ออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2470 โดยมีหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร เป็นเจ้าของและบรรณาธิการ หนังสือเล่มนี้อยู่ยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน
พ.ศ. 2471 เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายการศึกษาของชาติครั้งใหญ่ ท่านได้ย้ายไปเป็นครูที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ เป็นอาจารย์สอนวิชาวิทยาศาสตร์ระดับมัธยม และปีเดียวกันนี้ ท่านได้สมรสกับคุณสำอางค์ ไรวา สุภาพสตรีในตระกูลคหบดี
พ.ศ. 2472 ย้ายไปอยู่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ดำรงตำแหน่งเป็นผู้กำกับคณะช่วงเกษตร และเป็นอาจารย์สอนวิชาวิทยาศาสตร์ระดับมัธยม
พ.ศ.2473 กระทรวงกลาโหมได้ขอตัวท่านไปช่วยราชการ โดยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกเสบียงสัตว์ และผู้อำนวยการสอนวิชากสิกรรมแก่นายทหาร
• สอนวิชากสิกรรมแก่ทหารเกณฑ์ เพื่อเมื่อปลดประจำการณ์แล้ว ทางราชการจะให้ที่ทำกินแก่ทหารเหล่านั้นแถบชายแดน เพื่อทำการเกษตรและเป็นรั้วของชาติไปด้วย
• ช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งอยู่นี้ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้ายขณะนั้น ได้มอบพื้นที่กองเสบียงสัตว์ต่างของท่านที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ให้แก่กระทรวงกลาโหม
พ.ศ.2475 ได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระช่วงเกษตรศิลปการ
พ.ศ.2476 กระทรวงเกษตรพาณิชยการ ได้ขอตัวท่านจากกระทรวงกลาโหม โดยโอนมาสังกัดกรมตรวจกสิกรรม (กรมเกษตร) แล้วส่งท่านไปก่อตั้งสถานีทดลองกสิกรรมภาคเหนือ ที่บ้านแม่โจ้ ตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. 2477 กระทรวงธรรมการ โดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มาตรี ได้ตั้ง โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมภาคเหนือ (ปปก. ประกาศนียบัตรประถมกสิกรรม) ที่แม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ได้ขอตัวคุณพระช่วงเกษตรศิลปการย้ายมาสังกัดกระทรวงธรรมการ แต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่และหัวหน้าสถานีทดลองกสิกรรมภาคเหนือในเวลาเดียวกัน ในเวลาต่อมาโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมที่แม่โจ้ได้เปลี่ยนสถานะเป็น โรงเรียนฝึกหัดครูมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม ภาคเหนือ
พ.ศ. 2481 รัฐบาลมีนโยบายยุบโรงเรียนฝึกหัดครูมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม พระช่วงเกษตรศิลปการได้ผลักดันให้รักษาโรงเรียนฝึกหัดครูมัธยมวิสามัญเกษตรกรรมภาคเหนือที่แม่โจ้ไว้ และจัดตั้งเป็นวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขึ้น โดยดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจัดตั้งกองวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สังกัดกรมเกษตรและการประมง
พ.ศ. 2482-2492 ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็น อธิบดีกรมเกษตรและการประมง โดยในระหว่าง 10 ปีนี้ท่านมีผลงานดังนี้
พ.ศ. 2482 โดยการริเริ่มการก่อตั้งของ 3 บูรพาจารย์ คือ พระช่วงเกษตรศิลปการ หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ หลวงอิงคศรีกสิการ รวมทั้งบุคคลสำคัญอีกหลายท่าน เช่น ศาสตราจารย์จรัด สุนทรสิงห์ อาจารย์เริ่ม บูรณฤกษ์ อาจารย์กวี วิสุทธารมณ์ เป็นต้น ได้ร่วมกันจัดตั้งวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขึ้นที่ทุ่งบางเขน โดยมีการเปลี่ยนแปลงวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จนมาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปัจจุบัน โดยมีฐานะเป็น กองหนึ่งของกรมเกษตร พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงเกิดขึ้น และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486
พ.ศ. 2489 ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเกษตรและการประมง เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง 1 ปี ท่านได้ร่วมคณะผู้แทนไทยไปประชุมองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ที่สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้สังเกตการณ์ หลังการประชุมได้แวะไปเยี่ยมสถานศึกษาเดิม คือ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้มอบประกาศนียบัตรนักเรียนเก่าดีเด่นให้แก่ท่าน และการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ ท่านได้นำวัคซีนป้องกันโรครินเดอร์เปสต์กลับมาประเทศไทยด้วย วัคซีนชนิดนี้ได้ช่วยป้องกันชีวิตสัตว์เลี้ยงของประเทศไทยในสมัยนั้นไว้ไม่น้อยเลย
พ.ศ. 2491 ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเกษตรและการประมงนั้น ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็น นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
พ.ศ.2492-2495 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ ( กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปัจจุบัน) สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเกษตรและการประมงได้ 10 ปี ท่านดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการนานประมาณ 3 ปี ท่านได้สร้างผลงานอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติหลายประการด้วยกัน อาทิ
• การออกพระราชบัญญัติควบคุมต้นสัก การสร้างป่าสงวนหลายแห่ง
• ริเริ่มการปลูกป่าสนสามใบ บนภูเขาที่มีระดับความสูงโดยเริ่มทำการทดลองเพาะพันธุ์ต้นสนเมืองหนาวพันธุ์ต่างๆที่ดอยสุเทพ
• ทางแถบชายทะเล ริเริ่มการปลูกสนประดิพัทธ์ที่หาดรำพึง จังหวัดระยอง และที่สวนสน หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เสาจากต้นสนประดิพัทธ์นำมาใช้ประโยชน์เป็นเสาโปะ ใช้จับปลาในอ่าวไทยในสมัยนั้น
• ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกปอกระเจา ในเขตพื้นที่น้ำท่วมนา เพื่อใช้ทำกระสอบข้าวสาร สมัยก่อนต้องสั่งซื้อปอจากต่างประเทศ
• พ.ศ.2485 เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพและภาคกลางทั้งหมด ทำให้พืชผักสวนครัวขาดแคลน ท่านได้แนะนำและส่งเสริมให้มีการปลูกถั่วงอก ในสมัยนั้นจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อน้ำท่วม จึงเป็นการเริ่มความนิยมการขายก๋วยเตี๋ยวเรือใส่ถั่วงอกและผักบุ้ง เพื่อให้ประชาชนได้รับอาหารครบหมู่
• ดำเนินการสร้างเขื่อนเพชร ที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นเขื่อนแรกของประเทศไทย ทำให้บริเวณรอบเขื่อนมีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะที่อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี และสร้างเขื่อนเจ้าพระยาที่จังหวัดตาก เป็นเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งแรกของประเทศไทย
• จัดตั้งกรมประมง โดยแยกจากกรมเกษตรและการประมง ผลงานคือ
o การนำปลาหมอเทศจากประเทศอินโดนีเซียมาเผยแพร่
o การทำแหล่งเพาะพันธุ์ปลาที่กว้านพะเยา ซึ่งเป็นต้นแบบในการเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืดเพื่อการพาณิชย์ในปัจจุบัน
• กรมเกษตร ผลงาน คือ
o ส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าว และส่งเสริมการผลิตข้าวเป็นสินค้าออกที่สำคัญ
o ขยายพันธุ์ลิ้นจี่ที่ฝาง โดยใช้เมล็ดพันธ์จากเมืองจีนเป็นการริเริ่มปลูกลิ้นจี่ที่ภาคเหนือ สมัยก่อนมีพันธุ์พื้นเมืองที่อัมพวา และบางขุนเทียน
o ต่อยอดการปลูกมันสำปะหลังนำมาใช้ประโยชน์เป็นอาหารสัตว์ แปรรูปเป็นแป้งมันสัมปะหลังซึ่งผลิตผลทั้งสองชนิดนี้เป็นสินค้าส่งออกของประเทศ
o ก่อตั้งบริษัทฝ้ายไทย เพื่อตรึงราคาฝ้ายให้เกษตรกร
o แนะนำให้ปลูก ถั่วเหลือง หลังปลูกข้าว หรือพืชไร่ เป็นการปรับดินให้มีปุ๋ยไนโตรเจนในดิน
o ส่งเสริมการปลูกหอมหัวใหญ่ ปลูกพืชผักเมืองหนาวเช่นแครอท กะหล่ำปลี มะเขือเทศ บีทรูท เป็นต้น
o ขยายพันธุ์ลำใยพันธุ์ดี
o ส่งเสริมการปลูกใบยาสูบ
 สมัยที่อยู่แม่โจ้ ได้สั่งซื้อเมล็ดพันธุ์ยาสูบเวอร์จิเนียซึ่งมีเม็ดเล็กมาก จากสหรัฐอเมริกาใส่ซองจดหมายส่งมาทางไปรษณีย์
 คุณหญิงช่วงฯได้นำเมล็ดพันธุ์นี้มาผสมทรายละเอียดเกลี่ยเพื่อแบ่งเป็นส่วนๆนำไปเพาะในแปลงทดลองที่แม่โจ้ พบว่าขึ้นได้ดี จนศิษย์แม่โจ้รุ่นแรกๆเป็นเศรษฐียาสูบกันหลายคน
 ได้สร้างโรงบ่มยาสูบที่แม่โจ้เป็นต้นแบบแห่งแรกในประเทศไทย
 ระหว่างที่ท่านเป็นรัฐมนตรีเกษตรฯ ได้ขยายโรงงานยาสูบจากสะพานเหลือง ถนนพระราม 4 โดยจัดหาที่ดินของโรงงานยาสูบในปัจจุบัน ซึ่งพื้นที่บางส่วนได้ถูกแบ่งเป็น ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
• ดำรงตำแหน่ง นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลงานในตำแหน่งนี้ อาทิเช่น
o ได้ให้องค์การป่าไม้นำรายได้จากสัมปทานป่าแม่อิง มาใช้เพื่อพัฒนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
o สนับสนุนให้มีทีมรักบี้ โดยจ้างครูต่างประเทศมาวฝึกสอน ทำให้ทีมรักบี้เกษตรศาสตร์ได้รางวัลชนะเลิศหลายครั้งจนมีชื่อเสียงมาก
o กำหนดให้วันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นวันเกษตรแห่งชาติ มีการประกวดพืชผล เช่น ข้าวสายพันธุ์ปิ่นแก้วของเพชรบุรี ได้รางวัลชนะเลิศ ในปีแรก ทำให้มีการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวสายพันธุ์ต่างๆ และยังมีการประกวดพืชพรรณอื่นๆได้แก่ ข้าวโพด ผักสวนครัวต่างๆ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมนี้ได้สืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน
• ท่านเป็นผู้มีคุณธรรม รักความซื่อสัตย์ ยุติธรรม อย่างยิ่งและจะไม่ยอมกระทำการใดๆ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเด็ดขาด

พ.ศ. 2495 เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ เมื่อท่านพ้นจากการเป็นรัฐมนตรี ได้รับการแต่งตั้งเป็น กรรมการผู้จัดการธนาคารเกษตร (ธนาคารกรุงไทยในปัจจุบัน)
พ.ศ. 2483 ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยการค้า สมาคมพ่อค้าไทย ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยหอการค้า
พ.ศ.2499 – 2502 ได้รับแต่งตั้งเป็น ฑูตวัฒนธรรม และผู้ดูแลนักเรียนไทย ในสหรัฐอเมริกา
พ.ศ.2503 – 2504 ครบเกษียณอายุราชการ จึงได้เดินทางกลับประเทศไทย เป็นข้าราชการบำนาญ ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ไร่เอสอาร์ ที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ผลงานในช่วงที่ดูแลไร่เอสอาร์ ได้แก่
• ควบคุมการปลูกมันสัมปะหลัง และผลิตแป้งมันสัมปะหลังส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา โดยมี
มรว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ซึ่งเป็นวิศวกร เป็นผู้จัดการโรงงาน
• มีการเลี้ยงโคนมพันธุ์บรามัน
o มีการปลูกหญ้าขน ซึ่งมีแร่ธาตุซีเลเนี่ยมสูง ทำให้วัวแข็งแรงไม่ป่วยง่าย
o ได้มีโอกาสรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง คราวเสด็จเยี่ยมไร่เอสอาร์ ได้ทูลเกล้าถวายโคนมพันธุ์บรามัน ซึ่งโปรดให้เลี้ยงที่วังสวนจิตรลดา ซึ่งเป็นช่วงการเริ่มต้นโครงการนมของส่วนจิตรลดา
พ.ศ. 2518 – 2522 ภายหลังจากเกษียณอายุราชการ ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง นายกสภาสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ เป็นตำแหน่งสุดท้ายของการทำงาน เคยมีศิษย์ของท่านตั้งพรรคการเมืองสัมมาชีพ-ช่วยชาวนา แต่ท่านมิได้เคยเข้าร่วมพรรคการเมืองนี้ หรือพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น
ท่านใช้ชีวิตบั้นปลายกับครอบครัวที่รัก และลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้าอย่างอบอุ่น
• ได้เล่นดนตรีไทยกับเพื่อนนักดนตรีไทยอย่างสนุกสนาน ตั้งชื่อวงว่า วงหนุ่มน้อย เพื่อนนักดนตรีไทย อาทิ พระยามไหศวรรย์ เป็นต้น โดยนัดพบกันอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง ณ บ้านไทยของท่านที่ ถนนลาดหญ้า
• ในวันที่ 20 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันเกิดของท่าน จะมีลูกศิษย์ที่รักและเคารพมาเยี่ยมท่านมิได้ขาด
• หลังจากที่ท่านล่วงลับไปแล้ว ศิษย์แม่โจ้ยังมีการนัดสังสรรกันทุกวันที่ 20 ของทุกๆเดือน ที่ภัตตาคารพงหลี ซึ่งประเพณีนี้ยังคงจัดอยู่จนทุกวันนี้แม้ท่านจะจากเราไปแล้ว
พระช่วงเกษตรศิลปการ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2531 สิริอายุได้ 88 ปี
รวมระยะเวลาในการรับราชการ รับใช้บ้านเมืองตั้งแต่เริ่มเป็นครูสอนในโรงเรียนสวนกุหลาบ พ.ศ. 2459 จนถึงตำแหน่งสุดท้าย คือ ฑูตวัฒนธรรม และผู้ดูแลนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกา จนเกษียณอายุราชการใน พ.ศ. 2502 เป็นเวลา 43 ปี ด้วยคุณงานความดีของคุณพระช่วงเกษตรศิลปการที่มีต่อมหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และวงการเกษตรของประเทศไทย ท่านได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิต(กิตติมศักดิ์) จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และบรรดาศิษย์รุ่นหลังๆได้สร้าง อนุสาวรีย์รูปเหมือนของคุณพระช่วงเกษตรศิลปการเพื่อเป็นเกียรติประวัติ และเป็นที่สักการบูชาของชนชาวไทยต่อไป ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน อนุสาวรีย์รูปเหมือนของพระช่วงเกษตรศิลปการ เคียงคู่กับอนุสาวรีย์ของ หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ และหลวงอิงคศรีกสิการ เป็นอนุสาวรีย์ 3 บูรพาจารย์ ซึ่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้จัดให้มีการวางพวงมาลา เพื่อระลึกถึงพระคุณของท่านทั้งสามในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ อันเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยทุกปี มาจวบจนกระทั่งทุกวันนี้

เครื่องราชอิสริยาภรณ์
26 กพ. 2468 เหรียญบรมราชาภิเศกเงิน รัชกาลที่ 7
11 พค. 2480 ตริตราภรณ์ มงกุฏสยาม (ต.ม.)
20 กย. 2482 ตรีตราภรณ์ ช้างเผือก (ต.ช.)
20 กย. 2483 ทวิติยาภรณ์ มงกุฎไทย (ท.ม.)
30 กย. 2485 1) ทวิติยาภรณ์ ช้างเผือก (ท.ช.)
2) เหรียญจักรพรรดิมาลา (ร.จ.พ.)
19 กย.2486 ประถมาภรณ์ มงกุฎไทย (ป.ม.)
10 ธค. 2492 ประถมาภรณ์ ช้างเผือก (ป.ช.)
5 สค. 2494 มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)

เกียรติคุณ และปริญญาบัตรกิตติมศักดิ์
พ.ศ. 2494 เหรียญตรา และสายสะพานชั้นสูงจากประเทศสเปน
จาก ฯพณฯ จอมพล ฟรันซิสโก ฟรังโก ประธานาธิบดีของสเปน
พ.ศ. 2506 1) ใบประกาศเกียรติคุณ นิสิตเก่าดีเด่น มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา
2) โล่นิสิตเก่าดีเด่น สมาคมศิษย์เก่า คณะเกษตร มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ลอนบันยอส จาก ฯพณฯ เฟอร์ดินาน มาก๊อส ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์
พ.ศ. 2507 ได้รับพระราชทานปริญญา กสิกรรมและสัตวบาล ดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์)
จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
พ.ศ. 2525 ได้รับพระราชทานปริญญา เทคโนโลยีการเกษตร ดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) จากสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้
พ.ศ. 2527 โล่เกียรติคุณ นักวิทยาศาสตร์อาวุโสผู้มีผลงานดีเด่นของประเทศไทยจากสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติในวันที่ 18 สค. 2527
ครอบครัว
คุณพระช่วงเกษตรศิลปการ สมรสกับ คุณหญิงช่วงเกษตรศิลปการ (สำอางค์ ไรวา) เมื่อปี พ.ศ. 2471มีบุตรธิดารวม 6 คน คือ
1) นางชื่นสุข โลจายะ
2) แพทย์หญิงปานทิพย์ วิริยะพานิช
3) ศ.เกียรติคุณ ดร.สิรินทร์ พิบูลย์นิยม
4) ศ.นายแพทย์สมชาติ โลจายะ
5) พ.ต.ท. สมชัย โลจายะ
6) นายชวาล โลจายะ




แหล่งข้อมูล

เรียบเรียงโดย พญ.ปานทิพย์ วิริยะพานิช และ ศ.เกียรติคุณ ดร.สิรินทร์ พิบูลย์นิยม
วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2562



Copyright © 2019 Archives of Kasetsart University